สาระน่ารู้ “ยางรถยนต์” 10 สัญญาณเตือนเปลี่ยนยางรถ
Aug 13, 2023
“ยางรถยนต์” เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญในการขับเคลื่อนรถยนต์ การใช้งานรถยนต์ที่นานและไม่รับการดูแลรักษายางรถที่ถูกต้อง อาจส่งผลให้การใช้งานมีปัญหา นำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรงได้ ASN Broker รวบรวมสาระน่ารู้ “ยางรถยนต์” ความหมายของตัวอักษรบนล้อยางพร้อมบอก 10 สัญญาณเตือนเปลี่ยนยางรถยนต์ เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลรักษารถยนต์ของท่านให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
ก่อนอื่น ASN Broker ขอแนะนำทำประกันรถยนต์ติดรถยนต์เอาไว้ คุ้มครองรถยนต์ ปกป้องคนในรถ คุ้มครองคู่กรณี ชดเชยค่าเสียหาย เคลมประกันได้สูง ต้องทำประกันรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้น หากสนใจทำประกันรถยนต์กับเรา ท่านจะได้ส่วนลด และสิทธิพิเศษในการรับความคุ้มครองเสริม และข้อเสนอค่าเบี้ยที่ถูกลงอีกเพียบ และที่สำคัญ สามารถผ่อนจ่ายค่าประกันได้ ไม่มีค่าธรรมเนียม
สาระน่ารู้ “ยางรถยนต์”
1. ขนาดของยางรถยนต์
สิ่งที่ต้องคำนึงเกี่ยวกับการเลือกขนาดของยางรถยนต์เป็นสิ่งแรก คือ ความสามารถในการรับน้ำหนักของตัวรถป็นหลัก หากใครที่กำลังวางแผนจะเปลี่ยนขนาดยางและล้อรถยนต์เพื่อความสวยงาม ต้องนึกถึงการการรับน้ำหนักของรถ ถ้าขาดการพิจารณาในส่วนนี้ ขนาดของยางรถยนต์จะต่ำลง แถมพวงมาลัยอาจจะหนักขึ้น ทำให้เวลาควบคุมทิศทางรถยนต์อาจไม่สะดวกต่อการใช้งานได้
2.จุดสีบนยางใหม่
สำหรับรถยนต์คันใหม่ หากสังเกตุดี ๆ จะพบจุดสีเหลืองและจุดสีแดงอยู่บริเวณแก้มยาง ซึ่งมีความหมายสำคัญ ที่ไม่ใช่เพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว โดยจุดสีเหลือง หมายถึง บริเวณนั้นของยางมีน้ำหนักเบา มีความสำคัญเวลาถ่วงล้อการกระจายน้ำหนักของยางจะทำได้ดีขึ้น ส่วนสีแดง หมายถึง ยางที่ติดรถมาจากโรงงานผลิต เมื่อประกอบจุดให้ตรงกับจุกลม จะทำให้ล้อเกิดความสมดุลมากยิ่งขึ้น
แต่ถ้าเกิดไม่พบจุดสีที่ล้อรถยนต์ก็ไม่ต้องตกใจไปเพราะเมื่อผ่านการใช้งานไปซักพักจุดสีจะค่อยๆจางหายไปนั่นเอง
3. ทิศทางของดอกยาง
ทิศทางของดอกยาง สามารถแบ่งเป็น 2 แบบ คือ ดอกยางทิศทางเดียว ซึ่งจะมีลายไปทางเดียว โดยการหมุนของทิศจะมีลูกศรคอยบอกที่แก้มยาง และดอกยาง 2 ทิศทาง จะสามารถสลับสับเปลี่ยนได้ทุกตำแหน่ง เนื่องจากทิศทางของดอกยางจะสวนทิศทางสลับกัน
4.ความหมายของตัวอักษรบนล้อยาง
ตรงแก้มล้อยางมีตัวเลขและตัวอักษรอยู่ ซึ่งไม่ใช่ตัวเลขมั่วๆ แต่จะมีความหมายซ่อนอยู่ทุกตัวอักษร โดยตำแหน่งตัวอักษรจะเป็นเหมือนโค้ดลับที่เอาไว้บอกเจ้าของรถยนต์และช่างซ่อมรถยนต์ ยกตัวอย่างเช่น
185/75R14 82S
185 หมายถึง ขนาดความกว้างของยางต่อมิลลิเมตร
75 หมายถึง ความสูงของแก้มยาง หน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์
R หมายถึง ชนิดของยาง นั่นคือ RADIAL (ยางเรเดียล) เป็นยางที่มีโครงสร้างเป็นชั้นผ้าใบเส้นลวดพันอยู่รอบยางทำมุมทะแยงกับเส้นรอบวงของยาง
14 หมายถึง เส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ มีหน่วยวัดเป็นนิ้ว
82 หมายถึง ขีดความสามารถในการรับน้ำหนักหรือบรรทุก
s หมายถึง ความเร็วสูงสุดที่ถูกต้องตามกฎหมาย นั่นคือ ความเร็ว 180 ก.ม./ช.ม.
10 สัญญาณเตือนเปลี่ยนยางรถยนต์
1. สภาพดอกยาง
ยางรถยนต์ทุกเส้นจะมีตัวบอกสภาพดอกยางอยู่บริเวณร่องตรงกลางบริเวณหน้ายาง มีลักษณะเป็นสันนูนคล้ายสะพานที่เชื่อมร่องดอกยางให้ติดกัน ถ้าดอกยางนั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับตัวสะพานยางแล้วหมายความว่าถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนยางได้แล้ว เจ้าของรถยนต์สามารถตรวจเช็กสภาพดอกยางง่าย ๆ ด้วยตัวเอง โดยการใช้ไม้ขีดไฟทิ่มลงไปในร่องยางรถยนต์ หากยังเห็นหัวไม้ขีดสีแดงแสดงว่าดอกยางเหลือน้อยควรรีบเปลี่ยนยางรถยนต์โดยเร็วที่สุด
2. ความบวมยาง
หากยางรถยนต์มีลักษณะบวม ปูด นูนออกมาจากปกติต้องรีบเปลี่ยนโดยทันที หากขับขี่ไปทั้งที่ยางบวมอาจทำให้ยางระเบิดหรือยางแตกกลางทางได้
3. การรั่วยาง
การแก้ไขด้วยการปะยางเพื่ออุดรอยรั่วแทนการเปลี่ยนยางทั้งเส้น ถือเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าหากตำแหน่งที่ยางรั่วซึมไม่ใช่หน้ายางแต่เป็นบริเวณแก้มยางหรือขอบยาง เมื่อนำรถยนต์ออกไปใช้งานก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้ วิธีที่ดีที่สุดสำหรับแก้ไขการรั่วของยางรถยนต์ คือ ปะยางกับบาดแผลเล็กที่มีรอยรั่วไม่เกิน 0.6 มิลลิเมตร และเกิดขึ้นบริเวณหน้ายางเท่านั้น เพราะยางสามารถกลับมารั่วซึมใหม่ได้ แต่ถ้าหากไม่มั่นใจ ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมและให้ช่างซ่อมที่มีความชำนาญช่วยแก้ไขการรั่วของยางให้
4. แก้มยาง
หากพบเห็นรอยปริ รอยร้าว รอยแตก หรือแยกชิ้นส่วนบริเวณแก้มยาง แม้เป็นรอยเล็กๆ ก็ควรรีบเปลี่ยนยางโดยด่วน เพราะอาจเป็นสาเหตุไปสู่การระเบิดหรือแตกขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้
5. เนื้อยาง
โดยปกติแล้วยางใหม่จะมีลักษณะหน้ายางที่นิ่ม เวลาเบรกหรือเข้าโค้งจะเกาะถนนได้ดี แต่เมื่อหน้ายางหมดอายุ ยางจะมีลักษณะแข็งกระด้าง เวลาเบรกเริ่มมีเสียงดังและระยะเบรกอาจกระชั้นชิดขึ้น บ่งบอกว่าเนื้อยางไม่สามารถรองรับแรงกระแทกหรือแรงเสียดสีได้ เจ้าของรถยนต์สามารถตรวจสอบได้โดยการใช้เล็บมือจิกลงไปบนเนื้อยาง ถ้าปรากฏเป็นรอยเล็บแสดงว่าหน้ายางหมดอายุแล้ว ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนยางทันที
6. อายุยาง
การใช้งานของยางรถยนต์มีอายุจำกัดโดยประมาณอยู่ที่ 4 - 5 ปี นับจากวันที่เริ่มใช้งาน แม้ว่ายางรถยนต์ที่ใช้อยู่จะไม่มีสัญญาณเตือนก็ตาม ก็ควรเปลี่ยนยางรถยนต์เมื่อครบอายุการใช้งาน เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานรถยนต์ และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนถนน
7. เสียงยาง
ขณะขับรถยนต์ แล้วได้ยินเสียงหอน เสียงปังคล้ายยางแตก และรถมีอาการกระตุก ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ต้องเปลี่ยนยางใหม่ เพราะอาการแบบนี้มักเกิดจากหน้ายางสึกไม่เท่ากันหรืออาจเกิดจากลูกปืนล้อแตกได้
8. การสั่นสะเทือนยาง
หากขับรถยนต์แล้วรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนผ่านล้อหรือพวงมาลัย อาจเป็นเพราะเกิดช่องว่างระหว่างดุมล้อกับล้อแม็ก หรือเกิดจากดอกยางรถยนต์ที่สึกไม่เท่ากัน โดยสาเหตุหลักมาจากยางสึก ดังนั้น ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทันที หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดความเสียหายและอุบัติเหตุได้
9. ความอ่อนลมยาง
ให้สังเกตุการออกจากบ้านทุกครั้งว่ายางรถมีอาการลมยางอ่อนเร็วผิดปกติหรือไม่ หากพบความผิดปกติให้รีบตรวจเช็กอย่างละเอียด เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะนำไปสู่ปัญหาร้ายแรงถึงขั้นยางระเบิดได้
10. การขับเคลื่อนยาง
หากขับรถไปลุยแอ่งน้ำขังตื้นๆแล้วรถก็แฉลบ ไม่สามารถเกาะพื้นถนนได้ อาจเกิดจากดอกยางหมดหรือดอกยางตื้นเกิน ทำให้ประสิทธิภาพของการรีดน้ำลดลง ควรรีบเปลี่ยนยางเส้นใหม่ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่โดยเร็วที่สุด
เช็กยางรถยนต์กันแล้ว อย่าลืมเช็กประกันรถยนต์กันด้วย ไม่ว่าจะรถใหม่ หรือรถเก่า ASN Broker พร้อมให้บริการกับทุกท่านด้วยความจริงใจ ประสบการณ์ด้านตัวแทนประกันภัยมากกว่า 18 ปี การันตีความน่าเชื่อถือ และเสนอแพ็กเกจประกันภัยทที่ตรงใจ ตรงความต้องการให้กับทุกท่านได้ เพื่อให้มั่นใจว่า ท่านจะได้รับแผนกรมธรรม์ที่ดีที่สุด การบริการที่ยอดเยี่ยมที่สุด และความคุ้มค่าที่สุดจากเรา และหากทำประกันรถยนต์ชั้น 1 เรายังคงนำเสนอแพ็กเกจสุดคุ้มที่เพิ่มความคุ้มครองพิเศษและข้อเสนออีกมากจากหลาายบริษัทประกันชั้นนำยอดนิยม ผ่อนจ่าย 0% ได้รับความคุ้มครองทันทีหลังจ่ายงวดแรก
บทความน่ารู้
5 จุดที่ต้องเช็กรถยนต์ก่อนเดินทางไกล
แนะนำประกันรถยนต์ชั้น 1 คุ้มครองอะไรบ้าง เลือกซื้อให้ดี ได้ราคาถูกกว่า